เกมนี้ เยอร์เกน คลอปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ไม่มี โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ส่วน ดิโอโก โชตา ที่เจ็บข้อเท้าก่อนหน้านี้ฟิตพอมีชื่อเป็นตัวสำรอง ด้าน 3 ประสานแดนหน้าใช้ หลุยส์ ดิอาซ, ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขณะที่ โธมัส ทูเคิล กุนซือเชลซี จัด คริสเตียน พูลิซิช, เมสัน เมาท์ และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ป่วนแนวรับหงส์แดง
เปิดฉากครึ่งแรก นาทีที่ 6 เชลซีได้ทักทายก่อนจากจังหวะที่ ไค ฮาเวิร์ตซ์ จ่ายบอลเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา ปาดเข้ากลาง คริสเตียน พูลิซิช ปรี่มายิง แต่ ควิวีน เคลเลเฮอร์ เซฟออกไปได้
จากนั้นนาทีที่ 22 ลิเวอร์พูล ได้ฟรีคิกระยะหวังผล เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เขี่ยให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดด้วยซ้าย บอลพุ่งหลุดเสาสอง
ถึงนาทีที่ 30 ลิเวอร์พูล น่าขึ้นนำสุดๆ เมื่อ นาบี เกอิตา ยิงไกลเต็มข้อ เอดูอาร์ด เมนดี เซฟออกมาเข้าทาง ซาดิโอ มาเน ตามซ้ำจ่อๆ แต่ เมนดี ก็ยังเซฟออกไปได้อย่างเหลือเชื่อ
นาทีที่ 45 เชลซี โต้กลับเร็ว คริสเตียน พูลิซิช พาบอลลุยขึ้นมา ก่อนจ่ายเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ เปิดเข้ากลาง เมสัน เมาท์ วอลเลย์ด้วยขวาหลุดเสาไม่ถึงคืบ
จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ยังเสมอ เชลซี 0-0
กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 49 เชลซี เกือบได้เฮ เมื่อ คริสเตียน พูลิซิช ตักบอลเข้าเขตโทษให้ เมสัน เมาท์ ได้ยิงโล่งๆ บอลชนเสาอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 74 ลิเวอร์พูล หวิดได้ประตู เมื่อ หลุยส์ ดิอาซ พาบอลกระชากมาซัดในเขตโทษ แต่ เอดูอาร์ด เมนดี ยังเซฟออกไปได้
เข้าสู่ช่วงทดเจ็บนาที 90+4 ลิเวอร์พูล เกือบโดนเมื่อ โรเมลู ลูกากู ได้ยิงในเขตโทษ ร้อนถึง ควิวีน เคลเลเฮอร์ ต้องเซฟออกไป
จบ 90 นาที ทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกัน 0-0 ต้องมาลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ
นาทีที่ 98 เชลซี ชวดได้ประตูจากจังหวะที่ โรเมลู ลูกากู หลุดไปยิงในเขตโทษตุงตาข่าย แต่ถูกจับล้ำหน้าอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 111 ไค ฮาเวิร์ตซ์ ของเชลซี ตะบันด้วยซ้ายเน้นๆ บอลพุ่งเข้าไปตุงตาข่าย แต่ถูกจับล้ำหน้าอีกครั้ง
ครบ 120 นาที ทั้งสองทีมยังเสมอกัน 0-0 ต้องตัดสินหาแชมป์ด้วยการดวลจุดโทษ และเป็น ลิเวอร์พูล ยิงแม่นกว่าชนะไป 11-10 คว้าแชมป์ คาราบาว คัพ มาครองเป็นสมัยที่ 9 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการนี้